**********************************************
...อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน...ในพระพุทธศาสนาเถรวาท...
...บังเกิด ณ อดีตกาล...ใน “ ทัททัลลวิมาน ”...
**********************************************
บทนำ
ความเดิมบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
เมื่อครั้นสมัยพุทธกาล ณ ดินแดนสวรรค์วิมาน “ทัททัลลวิมาน” มีเทพธิดานามว่า
“สุภัททาเทพธิดา”
ด้วยอานิสงส์ของการถวายสังฆทานในช่วงของการปฏิสนธิกาลเป็นมนุษย์นั้น ผลบุญของอานิสงส์นั้นมีผลานิสงส์มากมายจนทำให้ได้ไปบังเกิดปฏิสนธิกาลเป็นเทพธิดา
ณ ดินแดนสวรรค์วิมาน ดังเรื่องราวที่ผู้เขียนได้หยิบยกนำมาสาธยาย
เพื่อประกอบการศึกษาในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
(รหัสวิชา พ.๑๒๐๔) โดยนำเสนอผลงานถวายพระอาจารย์ พระมหาบุญไทย ปุมโน, ดร.
พระไตรปิฎก
ฉบับบาลีสยามรัฐ(ภาษาไทย) พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ
เถร-เถรีคาถา ข้อที่ ๓๔ หน้าที่ ๔๗ – ๕๐
*:ทัททัลลวิมาน:*
ว่าด้วย...ผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในทัททัลลวิมาน
นางภัททาเทพธิดาผู้พี่สาว ได้ถามนางสุภัเทพธิดาผู้น้องสาวว่า
ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมี ทั้งเป็นผู้เรืองยศ ย่อมรุ่งเรืองโรจน์ล่วงเทพเจ้าชาวดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี
ดิฉันไม่เคยเห็นท่านเพิ่งจะมาเห็นในวันนี้เป็นครั้งแรก ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน
จึงมาเรียกดิฉัน..โดยชื่อเดิมว่า “ภัททา” ดังนี้เล่า ? นางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวตอบว่า
ข้าแต่พี่ภัททา ฉันชื่อว่า “สุภัททา” ในภพก่อนครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ดิฉันได้เป็นน้องสาวของพี่
ทั้งได้เคยเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกับพี่มาด้วย ดิฉันตายจากมนุษยโลกนั้นมาแล้ว ได้มาเกิดเป็นเทพธิดาประจำสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนางภัททเทพธิดาจึงถามต่อไปอีกว่า
ดูกรแม่สุภัททา ขอเธอได้บอกการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้า เหล่านิมมานรดี ซึ่งเป็นที่
ๆ สัตว์ได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากแล้วจึงได้มาบังเกิด เธอได้มาเกิดในที่นี้เพราะทำบุญกุศลสิ่งใดไว้
และใครเป็นครูผู้แนะนำสั่งสอนเธอ เธอเป็นผู้เรืองยศ และถึงความสุขพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้
เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ ดูกรแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร
โปรดตอบฉันด้วย ? นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่าเมื่อชาติก่อน
ดิฉันมีใจเลื่อมใสได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่ แก่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูป ด้วยมือของตน
เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ
เพราะบุญกรรมนั้น
นางภัททาเทพธิดาได้ถามต่อไปอีกว่า พี่ได้เลี้ยงดูพระภิกษุทั้งหลาย
ผู้สำรวมดี ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ ด้วยมือของตนเองมากกว่าเธอ
ครั้นให้ทานมากกว่าเธอแล้ว ก็ยังได้บังเกิดในเหล่าเทพเจ้าต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอได้ถวายทานเพียงเล็กน้อย
อย่างไรจึงมาได้ผลอย่างพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้เล่า แน่ะแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร
โปรดตอบฉันด้วย ?
นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่าเมื่อชาติก่อน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุผู้อบรบทางจิตใจ
เพื่อคุณอันยิ่งใหญ่จึงได้นิมนต์ท่านรวม ๘ รูปด้วยกัน มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วยภัตตาหาร
ท่านพระเรวตเถระนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ อนุเคราะห์แก่ดิฉัน จึงบอกดิฉันว่า จงถวายสงฆ์เถิด
ดิฉันได้ทำตามคำของท่านทักขิณาของดิฉันนั้น จึงเป็นสังฆทาน ดิฉันให้เข้าตั้งไว้ในสงฆ์เป็นทานที่ไม่อาจปริมาณผลได้ว่ามีอยู่เท่าไร
ส่วนทานที่คุณพี่ได้ถวายแก่ภิกษุด้วยความเลื่อมใสเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก นางภัททาเทพธิดา
เมื่อจะรับรองความข้อนั้นจึงกล่าวว่าพี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานนี้ มีผลมาก ถ้าว่าพี่ได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์อีก
จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ถวายสังฆทาน และไม่ประมาทเป็นนิตย์.เมื่อสนทนากันแล้ว นางสุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่ทิพยวิมานของตนบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับการสนทนานั้น เมื่อนางสุภัททาเทพธิดากลับไปแล้วจึงตรัสถามนางเทพธิดาว่าดูกรนางภัททา
เทพธิดาผู้นั้นเป็นใคร มาสนทนาอยู่กับเธอย่อมรุ่งโรจน์กว่าเทพเจ้าเหล่าดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี
? นางภัททาเทพธิดา เมื่อจะบรรยายข้อที่สังฆทานของเทพธิดาผู้น้องสาวว่ามีผลมาก
จึงทูลว่าขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ เทพธิดาผู้นั้น เมื่อชาติก่อนยังเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก
เป็นน้องสาวของหม่อมฉัน และได้เคยร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉันด้วย เธอสั่งสมบุญกุศล
คือ ถวายสังฆทาน จึงได้ไพโรจน์ถึงอย่างนี้เพค๊ะ
สมเด็จอัมรินทราธิราช เมื่อจะทรงสรรเสริญสังฆทาน จึงตรัสว่า ดูกรนางภัททา น้องสาวของเธอไพโรจน์กว่าเธอ ก็เพราะเหตุในปางก่อน
คือ การถวายสังฆทานที่ไม่อาจจะปริมาณผลได้
อันที่จริง
ดังนี้ฉันได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ครั้งประทับอยู่
ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ถึงผลแห่งไทยธรรมที่ได้จัดแจงถวายในเขตที่มีผลมาก ของมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญให้ทานอยู่
หรือทำบุญปรารภเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย จะถวายในบุคคลประเภทใด จึงจะมีผลมาก พระพุทธเจ้าตรัสตอบข้อความนั้นแก่ฉันอย่างแจ่มแจ้งว่า
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยมรรค ๔ จำพวก พระอริยบุคคล
๘ จำพวกนี้ชื่อว่าสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติตรงดำรงมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้
หรือทำบุญปรารภการเวียนเกิดเวียนตาย ทานที่ถวายในสงฆ์ ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่
ยังผลให้เกิดแก่ผู้ถวายทานในท่านอย่างไพบูลย์ยากที่ใครจะปริมาณว่าเท่านี้ ๆ ได้ เหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้
ๆ ได้ ฉะนั้นพระสงฆ์เหล่านี้แล เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร
เป็นเยี่ยมในหมู่นรชนเป็นแหล่งสร้างแสงสว่าง คือ ญาณของชาวโลก ได้แก่ นำเอาแสงสว่าง
คือ พระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วมาชี้แจง ปวงชนที่ใคร่ต่อบุญเหล่าใด ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์
ทักขิณาของเขาเหล่านั้นชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เป็นยัญวิธีที่เซ่นสรวงถูกต้อง
จัดเป็นบูชากรรมที่บูชาแล้วชอบ เพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทานมีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก
ทรงสรรเสริญชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก มาหวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้ เกิดปีติโสมนัส
ก็จะกำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่พร้อมทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ความลังเลในใจ และการตีตนเสมอท่าน
อันเป็นมูลฐานเสียได้ทั้งจะไม่เป็นผู้ถูกผู้รู้ติเตียน แต่นั้นก็จะเข้าถึงสถานที่ ๆ
เป็นแดนสวรรค์ จบ “ทัททัลลวิมาน”[๑]
สรุปได้จากเรื่องราวดังกล่าวข้างต้นนั้น
ได้สาธยายถึงอานิสงส์ของการถวาย “สังฆทาน”
ว่ามีผลานิสงส์มากมายนับคณาพรรณสูงส่งเรืองรอง
ต่อตนผู้มีจิตมั่นน้อมใจในการถวายของพระสงฆ์
โดยไม่มีเจตนาเฉพาะเจาะจงต่อคณะสงฆ์รูปใดท่านก็ตามเถิด
มีบุญผลานิสงส์ให้ทราบกันมากมายทั่วกัน
ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเชิญชวนผู้อ่านและผู้ชมทั้งหลาย
ร่วมน้อมจิตอันเป็นกุศลในขณะการที่ถวายทานต่าง ๆ นั้นที่บริสุทธิ์
อันข้าพเจ้าได้จัดเตรียมมาเพื่อน้อมถวาย ให้ทานนั้นจงเป็น “สังฆทาน”
ด้วยอานิสงส์ของทานนั้นเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
***********************
[๑] ขุททกนิกาย.
๑๘/๓๔/๔๗-๕๐.
บรรณานุกรม
พระไตรปิฎก
ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา เล่มที่ ๑๘
ข้อที่ ๓๔ หน้าที่ ๔๗ – ๕๐.